โลกธุรกิจในปัจจุบัน หากจะถามว่าอะไรคือเกณฑ์ใหม่ของความสำเร็จ คำตอบคงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขยอดขาย หรืออัตรากำไรสูงสุดอีกต่อไป แต่กลับเป็นคำที่ลึกซึ้งและกว้างกว่านั้นมาก คำตอบนั้นก็คือ “ความยั่งยืน (Sustainability)”
ในยุคที่ผู้บริโภคและนักลงทุนต่างหันมาให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง องค์กรธุรกิจจึงถูกวัดคุณค่าจากสิ่งที่องค์กร “ไม่ทิ้งไว้ข้างหลัง” ไม่ว่าจะเป็นของเสียจากการผลิต ตะกอนสารเคมีที่ต้องกำจัด หรือแม้แต่ผลกระทบทางสังคมต่อชุมชนรอบโรงงาน
ธุรกิจที่ “ไม่ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง” จึงไม่ใช่แค่ธุรกิจที่ทำดีเพื่อโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นธุรกิจที่ชาญฉลาด เพราะการจัดการอย่างรับผิดชอบตั้งแต่ต้นทางคือการสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
จากกำไรสูงสุด สู่ความรับผิดชอบสูงสุด
อุตสาหกรรมในยุคหลังโควิด 19 และภายใต้แรงกดดันของภาวะโลกร้อน ได้ถูกผลักดันให้ก้าวข้ามจากกรอบแนวคิดเดิมที่เน้นผลตอบแทนทางการเงิน (Financial Returns) เพียงอย่างเดียว สู่กรอบแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งเป็นการบูรณาการมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเข้ากับการดำเนินธุรกิจ
ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (E: Environmental) กลายเป็นโจทย์หลักของภาคอุตสาหกรรม การปล่อยของเสียเป็นศูนย์ (Zero Waste) การลดการใช้พลังงาน และการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ คือสิ่งที่ถูกคาดหวังจากทุกองค์กร ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นการสร้างมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด
ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจที่มองไปข้างหน้าไม่ได้เห็นแค่ “ต้นทุน” ของการบำบัดของเสีย แต่เห็น “โอกาส” ในการเปลี่ยนแปลงของเสียให้เป็นทรัพยากรหมุนเวียน (Circular Economy) นี่คือจุดเปลี่ยนที่วัดคุณค่าขององค์กรในศตวรรษที่ 21
เมื่อ “Waste” กลายเป็น “Opportunity”
ของเสีย (Waste) ถือเป็นดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตได้อย่างชัดเจนที่สุด อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถจัดการของเสียได้ดี ย่อมหมายถึงการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพและการสร้างภาระให้กับสิ่งแวดล้อม
ในบริบทของการผลิตสารเคมีและอุตสาหกรรมหนัก “ของเสีย” มักจะมาในรูปแบบของ
-
น้ำเสีย (Wastewater)
น้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีหรือสารแขวนลอยจากกระบวนการผลิต ซึ่งต้องได้รับการบำบัดอย่างเข้มงวดก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
-
กากตะกอน (Sludge)
ผลผลิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการบำบัดน้ำเสีย ซึ่งต้องมีกระบวนการกำจัดที่ปลอดภัยและลดปริมาณให้มากที่สุด
-
การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions)
ก๊าซที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาไหม้หรือปฏิกิริยาเคมี ซึ่งองค์กรต้องมีแผนลดการปล่อยให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero
องค์กรที่รับผิดชอบจึงต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยให้การจัดการของเสียเป็นไปอย่างยั่งยืน เช่น
-
เทคโนโลยีการตกตะกอนที่มีประสิทธิภาพสูง
การเลือกใช้สารช่วยตกตะกอน (Coagulants) ที่เหมาะสม เช่น Ferric Chloride Solution หรือ Aluminum Sulfate ที่ช่วยให้การแยกสารปนเปื้อนและโลหะหนักออกจากน้ำเสียเป็นไปอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์ ทำให้ได้น้ำทิ้งที่สะอาดตามมาตรฐานก่อนเข้าสู่กระบวนการบำบัดขั้นต่อไป
-
การลดปริมาณตะกอน (Sludge Reduction)
การพัฒนาและใช้เทคโนโลยีในการลดปริมาณตะกอนที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด รวมถึงการบีบอัดตะกอนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการกำจัด และในบางกรณีที่ตะกอนมีความบริสุทธิ์เพียงพอ อาจนำไปใช้เป็นวัสดุในงานก่อสร้างหรือการเกษตร (Soil Conditioner) ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด
-
การใช้พลังงานสะอาด
การปรับเปลี่ยนแหล่งพลังงานในโรงงานเป็นพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ หรือการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรให้ใช้พลังงานอย่างประหยัด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยรวม
การลงทุนเหล่านี้อาจดูเป็นต้นทุนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมันคือการสร้าง “ความมั่นคงทางธุรกิจ” เพราะช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ด้านสิ่งแวดล้อม และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจจากผู้ซื้อที่ใส่ใจในประเด็น ESG
เมื่อสารเคมีเป็นมิตรกับโลก (Green Chemistry)
ในอุตสาหกรรมการผลิตและการแปรรูป สารเคมีคือหัวใจสำคัญ แต่การเลือกใช้สารเคมีในปัจจุบัน หากเป็นไปได้ต้องอยู่ภายใต้แนวคิด “เคมีสีเขียว (Green Chemistry)” ซึ่งมีหลักการสำคัญ 12 ประการ ที่มุ่งเน้นการลดหรือกำจัดการใช้และการสร้างสารอันตราย
สำหรับองค์กรที่ตระหนักถึงความยั่งยืน การเลือกซัพพลายเออร์สารเคมีจึงไม่ได้ดูแค่ราคาหรือคุณภาพเท่านั้น แต่ยังดูถึงด้านต่างๆ เหล่านี้
-
ความบริสุทธิ์ของสารเคมี
สารเคมีที่มีความบริสุทธิ์สูง มักจะช่วยลดปริมาณสารตกค้างหรือสิ่งปนเปื้อนที่ไม่จำเป็นในผลิตภัณฑ์และในน้ำเสีย
-
ความเป็นพิษต่ำ
การเลือกใช้สารเคมีที่มีความเป็นพิษต่ำต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment)
-
การนำกลับมาใช้ใหม่ได้
เน้นการใช้สารที่สามารถบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ความปลอดภัยในกระบวนการผลิต
การที่ผู้ผลิตเองก็ต้องมีระบบการผลิตที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือของเสียที่เป็นอันตรายต่อพนักงานและชุมชน
การตัดสินใจเลือกใช้สารเคมีที่เหมาะสมและมีมาตรฐานสูง เช่น สารประกอบทองแดง (Copper Compounds) ที่มีความบริสุทธิ์สูงสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ หรือสารช่วยตกตะกอนที่ได้รับรองมาตรฐานสากล ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว (Green Supply Chain) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่โลกกำลังวัดคุณค่าขององค์กร
การดูแลชุมชน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
มิติทางสังคม (S: Social) ของ ESG ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ละเลยไม่ได้ องค์กรธุรกิจต้องตระหนักว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในรั้ว แต่แผ่ขยายไปยังชุมชนรอบข้างได้ด้วย
ความรับผิดชอบต่อชุมชนไม่ใช่แค่การบริจาค แต่เป็นการ “จัดการความเสี่ยง” ที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมของโรงงาน เช่น
-
การจัดการมลพิษทางเสียงและกลิ่น
การลงทุนในเทคโนโลยีควบคุมกลิ่นและเสียงอย่างต่อเนื่อง
-
การสร้างงานและยกระดับคุณภาพชีวิต
การจ้างงานคนในท้องถิ่น และการพัฒนาทักษะของพนักงานให้มีมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตที่ดี
-
ความโปร่งใสในการสื่อสาร
การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานอย่างโปร่งใส และการสร้างช่องทางให้ชุมชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือแจ้งข้อกังวลได้
องค์กรที่แสดงความรับผิดชอบอย่างแท้จริงจะได้รับความไว้วางใจจากชุมชน (Social License to Operate) ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดในโลกที่มีการเชื่อมโยงถึงกัน (Interconnected World)
ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส คือ รากฐานความยั่งยืน
ในมิติธรรมาภิบาล (G) อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับของเสียโดยตรง แต่มันคือกลไกขับเคลื่อนที่ทำให้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมถูกนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืน
องค์กรที่ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลจะถูกวัดคุณค่าจากความสามารถในด้านต่างๆ ดังนี้
-
กำหนดนโยบายที่ชัดเจน
มีการนำประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม (ESG) เข้าไปรวมอยู่ในการตัดสินใจทางธุรกิจระดับสูงสุดของคณะกรรมการบริษัท
-
ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน
มีระบบตรวจสอบภายในและมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งรวมถึงการทุจริตที่อาจนำไปสู่การจัดการของเสียที่ไม่ถูกต้อง หรือการหลีกเลี่ยงกฎหมายสิ่งแวดล้อม
-
ความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล
การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างสม่ำเสมอและถูกต้องแม่นยำแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในระยะยาว
-
การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน
มีการระบุ วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อย่างเป็นระบบ
ธรรมาภิบาลจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ทำให้ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนขององค์กรเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์
สรุป
ในท้ายที่สุด เมื่อโลกเริ่มวัดคุณค่าของธุรกิจจากสิ่งที่องค์กร “ไม่ทิ้งไว้ข้างหลัง” มันคือสัญญาณที่ชัดเจนว่ายุคของการทำกำไรโดยแลกกับสิ่งแวดล้อมได้สิ้นสุดลงแล้ว ธุรกิจที่อยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต คือธุรกิจที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด ลงทุนในเทคโนโลยีการจัดการของเสียให้เป็นศูนย์ (Near Zero Waste) เลือกใช้สารเคมีภายใต้หลักการเคมีสีเขียว และรับผิดชอบและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน
การปรับตัวสู่ความยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนในรูปแบบของชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ ต้นทุนที่ลดลงในระยะยาว และเหนือสิ่งอื่นใด คือการร่วมสร้างโลกที่สะอาดและน่าอยู่สำหรับคนรุ่นถัดไป

