ลองมองไปในครัวของคุณดูสิคะ มีอาหารอะไรที่กำลังจะหมดอายุหรือเหลือจากการรับประทานบ้างไหม? บางครั้งอาจเป็นผักใบเขียวที่ซื้อมาทำอาหารมื้อก่อนแล้วลืมนำไปทำต่อให้หมด แกงจากเมื่อวานที่ไม่มีใครทานต่ออีก หรือแม้แต่วัตถุดิบที่ถูกแช่แข็งจนลืมไปแล้วว่ายังมีเหลืออยู่
ของเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ในบ้านของเรา แต่เมื่อมารวมกันแล้ว ขยะอาหารกลายเป็นปัญหาระดับโลก ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ บทความนี้จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าทำไมขยะอาหารถึงเป็นเรื่องใหญ่ และเราทุกคนจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร
“มากกว่า” แค่การทิ้งอาหาร
การทิ้งอาหารไม่ได้หมายถึงการสูญเสียอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการสูญเสียทรัพยากรทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตอาหารชิ้นนั้นๆ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ลองคิดดูว่ากะหล่ำปลีหนึ่งหัวต้องใช้อะไรบ้างในการเติบโต ตั้งแต่ที่ดินสำหรับการเพาะปลูก น้ำสำหรับการรดน้ำ ปุ๋ยเพื่อบำรุง ไปจนถึงพลังงานที่ใช้ในการขนส่งและจัดเก็บในห้องเย็น กว่าจะมาถึงมือเรา ทรัพยากรเหล่านี้ถูกใช้ไปอย่างมากมาย และเมื่ออาหารเหล่านั้นถูกทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทรัพยากรทั้งหมดก็สูญเปล่าตามไปด้วย
นอกจากนี้ ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของขยะอาหารคือการปล่อย ก๊าซมีเทน (Methane) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ร้ายแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า ก๊าซมีเทนจะถูกปล่อยออกมาจากขยะอาหารที่ถูกทิ้งในหลุมฝังกลบ เมื่ออาหารเหล่านั้นถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน การปล่อยก๊าซมีเทนนี้เป็นตัวเร่งสำคัญของ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น
ประเภทของขยะอาหารเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
หลายคนอาจเข้าใจว่าขยะอาหารคือเศษอาหารที่เหลือจากมื้อกินข้าวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ขยะอาหารสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามแหล่งที่มาและลักษณะของมัน ซึ่งการทำความเข้าใจประเภทของขยะอาหารจะช่วยให้เราสามารถจัดการมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
∘ ขยะอาหารที่ยังกินได้ (Edible Food Waste)
คืออาหารที่ยังอยู่ในสภาพดีและพร้อมบริโภคแต่ถูกทิ้งไป เช่น ขนมปังที่เหลืออยู่ในถุง ผลไม้ที่มีรอยช้ำเล็กน้อย หรืออาหารที่หมดอายุจากการวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ต
∘ ขยะอาหารที่กินไม่ได้ (Inedible Food Waste)
คือส่วนของอาหารที่ไม่สามารถบริโภคได้อยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น เปลือกผลไม้ ก้านผัก หรือกระดูกสัตว์
∘ ขยะอาหารจากภาคการผลิต
คืออาหารที่ถูกทิ้งไปตั้งแต่กระบวนการผลิต เช่น ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ด้านขนาดหรือความสวยงาม
∘ ขยะอาหารจากครัวเรือน
คืออาหารที่เหลือจากการปรุงและการบริโภคในแต่ละวัน ซึ่งเป็นส่วนที่เราใกล้ชิดที่สุดและสามารถจัดการได้ง่ายที่สุด

Getting to know food waste on a deeper level
ขยะอาหารส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นขยะอาหารที่ยังกินได้จากครัวเรือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะหากมีการจัดการที่ดีขึ้น ปริมาณขยะที่ต้องถูกนำไปฝังกลบก็จะลดลงอย่างมหาศาล
“ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” เมื่อเราทิ้งอาหารเท่ากับทิ้งเงิน
นอกจากผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ขยะอาหารยังเป็นปัญหาที่กระทบกระเป๋าสตางค์ของเราโดยตรงอีกด้วย เนื่องจากในแต่ละปี ผู้คนทั่วโลกทิ้งอาหารที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและแสดงให้เห็นถึงการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ลองคิดดูง่ายๆ ว่าในทุกๆ เดือน คุณต้องทิ้งอาหารสดที่ซื้อมาแล้วกินไม่ทันกี่ครั้ง? หรือมีอาหารที่ต้องทิ้งเพราะเก็บไม่ถูกวิธีบ้างไหม? หากนำค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มารวมกันในแต่ละปี คุณจะพบว่าเงินจำนวนไม่น้อยถูกทิ้งไปพร้อมกับอาหารเหล่านั้น การวางแผนการซื้ออาหารและจัดการอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะ แต่ยังช่วยให้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้อีกด้วย การลดขยะอาหารจึงเป็นทั้งเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมและเรื่องของการบริหารการเงินส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน
วิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย
ในประเทศไทยเองก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้อย่างหนัก จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่าในแต่ละปี ประเทศไทยมีปริมาณขยะอาหารสูงถึง 64% ของขยะทั้งหมด หรือประมาณ 14 ล้านตันต่อปี และส่วนใหญ่ถูกนำไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบ ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าหากเรายังคงมีพฤติกรรมการบริโภคและการจัดการอาหารแบบเดิม ปัญหาจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้หลายคนใช้ชีวิตโดยการซื้ออาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่พร้อมปรุงมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการซื้อเกินความจำเป็นและเหลือทิ้งเป็นขยะอาหารในที่สุด การขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ ทำให้ขยะอาหารยังคงเป็นปัญหาที่ถูกมองข้าม และกำลังกัดกินโลกของเราอยู่เงียบๆ
แนวทางลดขยะอาหารง่าย ๆ ที่บ้านของคุณ
แม้ปัญหาจะดูยิ่งใหญ่ แต่ทุกคนก็สามารถเริ่มต้นแก้ไขได้จากจุดเล็กๆ อย่างการจัดการขยะอาหารในบ้านอย่างถูกวิธี นี่คือแนวทางง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้
∘ วางแผนก่อนซื้อและทำอาหาร
ก่อนไปซูเปอร์มาร์เก็ต ลองสำรวจตู้เย็นและตู้กับข้าวในบ้านดูก่อนว่ามีอะไรเหลือบ้าง แล้วจดรายการสิ่งของที่จำเป็นต้องซื้อเท่านั้น การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณซื้อของในปริมาณที่พอดี และลดโอกาสที่จะมีอาหารเหลือทิ้ง
∘ จัดการอาหารอย่างถูกวิธี
เมื่อซื้ออาหารมาแล้ว ควรเก็บรักษาให้ถูกวิธี เช่น ผักควรล้างและห่อด้วยกระดาษก่อนใส่ในตู้เย็น ผลไม้บางชนิดควรเก็บไว้นอกตู้เย็น หรืออาหารที่ปรุงเสร็จแล้วควรเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา
∘ สร้างสรรค์เมนูจากของเหลือ
ลองใช้ความคิดสร้างสรรค์ทำอาหารจากวัตถุดิบที่ใกล้จะเสีย เช่น ผักที่เริ่มนิ่มสามารถนำไปทำซุปหรือน้ำผักปั่นได้ หรือข้าวสวยที่เหลือจากมื้อกลางวันสามารถนำไปทำข้าวผัดหรือข้าวต้มได้
∘ เปลี่ยนเศษอาหารเป็นปุ๋ยหมัก
สำหรับเศษอาหารที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เช่น เปลือกผลไม้ หรือกากกาแฟ คุณสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยหมัก (Compost) เพื่อใช้บำรุงต้นไม้ในบ้านได้ วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยอีกด้วย ถือเป็นการหมุนเวียนทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และสำหรับผู้ที่สนใจการทำปุ๋ยหมักอย่างจริงจัง ก็มีวิธีที่หลากหลาย เช่น การทำปุ๋ยหมักจากไส้เดือน (Vermicomposting) หรือการหมักแบบไม่ใช้อากาศ (Bokashi Composting) ที่สามารถทำได้ง่ายๆ แม้เป็นพื้นที่จำกัดอย่างคอนโดมิเนียม

From food scraps to something valuable
สรุป
ขยะอาหารเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวันของเราสามารถส่งผลกระทบใหญ่ต่อโลกได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย เช่น การวางแผนการซื้ออาหาร การจัดการอาหารในครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำเศษอาหารที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไปทำปุ๋ยหมัก ล้วนมีส่วนช่วยในการลดการสูญเสียทรัพยากร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดภาระของสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล
ในฐานะที่ทุกคนคือส่วนหนึ่งของโลก การจัดการขยะอาหารอย่างใส่ใจจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล แต่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกของเราในวันข้างหน้าด้วยมือของคุณเอง