Skip to main content

ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจทั่วโลก หนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะนี้คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคอุตสาหกรรม บทความนี้จะสำรวจถึงบทบาทของโรงงานอุตสาหกรรมต่อภาวะโลกร้อน ผลกระทบที่เกิดขึ้น และแนวทางการจัดการเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

 

บทบาทของโรงงานอุตสาหกรรมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โรงงานอุตสาหกรรมเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ เนื่องจากกระบวนการผลิตมักใช้พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และก๊าซอื่นๆ ที่มีส่วนในการเพิ่มปรากฏการณ์เรือนกระจก นอกจากนี้ กระบวนการผลิตบางประเภท เช่น การผลิตซีเมนต์และเหล็ก ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากปฏิกิริยาเคมีในกระบวนการผลิตอีกด้วย

 

ผลกระทบของมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพ

มลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมไม่เพียงแต่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน แต่ยังมีผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน สารมลพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิต สามารถทำให้เกิดฝนกรดและปัญหาทางเดินหายใจในมนุษย์ นอกจากนี้ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง ยังสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้

ห่วงโซ่อุปทานสีเขียวและมาตรฐาน ESG ในภาคอุตสาหกรรม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ความยั่งยืน” ได้กลายเป็นหนึ่งในข้อกำหนดหลักของธุรกิจทั่วโลก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากผู้บริโภค นักลงทุน และภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ตัวโรงงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด หรือที่เรียกว่า “Green Supply Chain” ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตต้องคำนึงถึงความยั่งยืนตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง

 

นอกจากนี้แนวทาง ESG (Environmental – Social – Governance) ได้กลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ใช้ประเมินความน่าเชื่อถือและศักยภาพของธุรกิจ ESG ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมปรับแนวทางบริหารจัดการ เช่น การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การดูแลแรงงานในโรงงาน การปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ซึ่งหากดำเนินการอย่างจริงจัง จะส่งผลให้โรงงานได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนในระยะยาว

 

การตรวจวัดและรายงานคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization)

ความสำคัญของการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ คือการจัดการที่ยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือในการวัดผลอย่างเป็นระบบเพื่อประเมินและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในแนวทางที่นิยมคือการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) ซึ่งเป็นการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากกิจกรรมต่างๆ ภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน การขนส่ง หรือของเสีย

 

การรายงานข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้โรงงานเข้าใจว่าแหล่งใดที่ปล่อยก๊าซมากที่สุด วางแผนและกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตรงจุด และเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดหรือกระบวนการผลิตที่ดีกว่า รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับ ESG

 

ในประเทศไทย การดำเนินการเรื่อง CFO ได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งมีการออกใบรับรองให้แก่บริษัทที่ดำเนินการตรวจวัดตามเกณฑ์

การใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม

การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ ในกระบวนการผลิต สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ เช่น ระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง การรีไซเคิลวัสดุ และการใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความยั่งยืนในการดำเนินงานของโรงงานอุตสาหกรรม

 

กฎหมายและมาตรการควบคุมมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย

ประเทศไทยมีการกำหนดกฎหมายและมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ที่กำหนดให้โรงงานต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการปล่อยของเสียและมลพิษ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

แนวทางการจัดการและลดผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรมต่อภาวะโลกร้อน

การจัดการและลดผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรมต่อภาวะโลกร้อนสามารถทำได้โดยการนำมาตรการต่างๆ มาใช้ เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน การนำระบบการจัดการพลังงานมาใช้ และการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การสร้างความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคธุรกิจยังเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

 

  • การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน

การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดีสามารถลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

  • การใช้พลังงานทดแทน

การเปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแหล่งที่ยั่งยืน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สามารถลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

  • การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ

การรีไซเคิลและการกำจัดของเสียอย่างถูกวิธีช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนและก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ

 

สรุป

โรงงานอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การตระหนักถึงผลกระทบและการดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยมลพิษเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน การใช้พลังงานสะอาด การนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ และการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการควบคุมมลพิษ จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

แหล่งที่มา:

Leave a Reply